วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

รู้หรือไม่?...อะไรคือสารก่อภูมิแพ้ในตัวคุณ

Pic_66925

สารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มีหลายชนิด โดยแต่ละคนมีปฏิกิริยาไวต่อสารแตกต่างกัน มาดูกันว่า สารก่อภูมิแพ้มีอะไรบ้าง ซึ่งสามารถพบได้ทั้งในและนอกบ้าน...

สาร ที่ก่อให้เกิดอาการแพ้มีมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละคนก็จะมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารแต่ละชนิดแตกต่างกัน และยังมีอีกหลายคนที่ไม่รู้ตัวว่าในร่างกายตนเองมีปฏิกิริยาไวเกินต่อสารก่อ ภูมิแพ้ชนิดใด บางรายมีสารก่อภูมิแพ้ในตัวแต่ไม่เคยรู้มาก่อน อาจเพราะยังไม่เคยได้สัมผัสกับสารนั้นๆ หรืออาจมีอาการแต่ไม่เด่นชัด บางรายที่มีอาการรุนแรงก็เกือบทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน

ภูมิแพ้เกิดได้อย่างไร?

ปัจจัย ที่ทำให้เป็นโรคภูมิแพ้มาจากกรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อม โดยผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งธรรมชาติสารเหล่านี้อาจไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป เมื่อไหร่ก็ตามที่มีสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารภูมิคุ้มกันชนิดอี หรือ Immunoglobulin E; IgE ที่ถูกสร้างขึ้นจะเข้าทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกาย เป็นผลให้เซลล์บางชนิดมีการแตกตัวและหลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ของโรคตามมา
สารก่อภูมิแพ้ในอากาศ แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สารก่อภูมิแพ้ที่พบในบ้าน เช่น ไรฝุ่น สปอร์ของเชื้อรา ซากแมลงสาบ สัตว์เลี้ยงในบ้าน และสารก่อภูมิแพ้ที่พบนอกบ้าน ได้แก่ ละอองเกสรหญ้า เชื้อรา วัชพืช ต้นไม้ เป็นต้น โดยผู้ป่วยที่มีปฏิกิริยาการแพ้หรือภูมิไวเกิน เมื่อได้รับสารเหล่านี้เข้าไปในปริมาณที่มากพอ จะกระตุ้นทำให้อาการของโรคภูมิแพ้กำเริบได้ เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม คันตา คันจมูก เป็นต้น ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรักษาโรคนี้ก็คือ การรู้จักหลีกเลี่ยงและกำจัดสิ่งที่ตนเองแพ้

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของสารก่อภูมิแพ้ที่พบได้บ่อย
แพ้ไรฝุ่น

ตัวไรฝุ่น คือ สัตว์จำพวกแมลงที่มีขนาดเล็กมากประมาณ 10-30 ไมครอนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า มี 8 ขาลักษณะคล้ายกับแมงมุม เห็บ หมัด ชอบอยู่ในที่อุ่นชื้น โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องนอน เช่น หมอนหนุน ที่นอน พรม เฟอร์นิเจอร์และตุ๊กตาของเล่นที่ทำจากผ้า ซึ่งสารก่อภูมิแพ้สำคัญก็คือ โปรตีนจากตัวไรฝุ่นเองและมูลของไรฝุ่น    

วิธีการรับมือ

1. คลุมที่นอน หมอน ด้วยผ้าที่มีช่องระหว่างเส้นใยเล็กมากจนตัวไรฝุ่นและมูลของมันไม่สามารถผ่าน เข้าไปได้
2.ซักผ้าปูที่นอนและผ้าห่มทุกๆ 1-2 สัปดาห์ในน้ำร้อนที่อุณหภูมิมากกว่า 55 องศาเซลเซียสเป็นเวลาอย่างน้อย 30 นาที
3.เช็ดทำความสะอาดบานเกล็ด ม่าน เครื่องเรือน และถูพื้นด้วยผ้าเปียกทุกๆ สัปดาห์เพื่อขจัดฝุ่นละออง
4.ควรนำของเล่น สมุดหนังสือ พรมและตุ๊กตา ออกไปไว้นอกห้องนอน หรือหาตู้เก็บอย่างมิดชิด
5.การ ใช้สารกำจัดไรฝุ่นจำพวก Tannic acid หรือ Acaricide พบว่าได้ผลดีในห้องทดลองปฏิบัติการ แต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในเรื่องของความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
6.สำหรับ เครื่องกรองอากาศหรือฟอกอากาศ อาจมีผลช่วยลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ไรฝุ่นได้บ้าง แต่ยังไม่มีข้อมูลยืนยันแน่ชัดว่าอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถช่วยให้อาการของผู้ ป่วยโรคภูมิแพ้ทุเลาลง

แพ้ซาก ของแมลงสาบ

วิธีการรับ มือ

การดูแลรักษาบ้านเรือนให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อมิให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงสาบ ภาชนะเก็บเศษอาหารควรมีฝาปิดให้มิดชิด ควรกำจัดขยะและเศษอาหารภายในบ้านทุกวัน อาจพิจารณาใช้ยาฆ่าแมลง หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเข้ามาฉีดยาขจัดแมลงในบ้านเป็นระยะ

แพ้สัตว์เลี้ยง

สารก่อภูมิ แพ้จากแมวพบได้จากรังแค ขน น้ำลาย ซีรั่ม และปัสสาวะ ส่วนสารก่อภูมิแพ้จากสุนัขพบได้จากรังแค ขน และน้ำลาย ซึ่งอนุภาคของสารก่อภูมิแพ้ชนิดนี้มีขนาดเล็ก ล่องลอยในอากาศ มักมีการเคลื่อนที่ไปอยู่ในบริเวณต่างๆ ทั้งภายในบ้าน โรงเรียน หรือสถานที่ทำงาน และยังสามารถคงอยู่ได้นานถึง 6 เดือนแม้ว่าจะมีการนำสัตว์เลี้ยงออกไปแล้ว

วิธีการรับมือ


วิธีที่ดีที่สุด คืองดเลี้ยงสัตว์เหล่านี้ หรืออย่างน้อยควรมีการแยกออกไปจากห้องนอน หรือบริเวณที่พักผ่อนเป็นประจำ ในกรณีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้ป่วยไม่ควรเล่นอย่างคลุกคลีใกล้ชิด และควรอาบน้ำให้แก่สัตว์เลี้ยงเป็นประจำทุกสัปดาห์ ส่วนการติดตั้งเครื่องกรองอากาศประเภทที่มีประสิทธิภาพการกรองสูง มีประโยชน์ในแง่ของการลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

แพ้สปอร์ของเชื้อรา

เชื้อ ราในธรรมชาติสามารถพบได้ทั้งในและนอกบ้าน มักเกิดตามที่อับชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือบริเวณที่มีใบไม้แห้งร่วงทับถมกัน

วิธีการรับมือ

1. หลีกเลี่ยงการปลูกต้นไม้ใส่กระถางไว้ในตัวบ้าน
2. หมั่นดูแลและกำจัดใบไม้ที่ร่วงทับถมอยู่บนพื้นหรือเศษหญ้าที่ชื้นแฉะ
3. ทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยๆ โดยเฉพาะกระเบื้องปูพื้นและผนัง ม่านพลาสติก ใต้อ่างล้างมือ โถส้วม และตามซอกมุมซึ่งมักพบมีราดำเกิดขึ้น
5.ทำความสะอาดห้องครัว ตู้เก็บอาหาร ตู้เย็นอย่างสม่ำเสมอ มิให้เกิดแหล่งน้ำท่วมขัง
6.เปิดห้องให้มีอากาศถ่ายเท ลดความอับชื้นและแสงแดดส่องถึง

แพ้ละอองเกสรหญ้าและวัชพืช

ละอองเกสรหญ้า มักมีขนาดเล็กและเบาสามารถปลิวตามลมและแพร่กระจายไปได้ไกล แม้ว่าจะไม่มีพืชชนิดนั้นในบริเวณบ้าน จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก

วิธีการรับมือ

ถ้าในบ้านมี สนามหญ้า ควรทำการตัดหญ้าและวัชพืชในสนามบ่อยๆ ในฤดูที่มีการกระจายตัวของเกสรมาก เช่น ช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี การปิดประตูหน้าต่างเพื่อป้องกันละอองเกสรจากภายนอก อาจช่วยลดอัตราการสัมผัสละอองเกสรในประเทศไทยได้ หรืออาจติดตั้งเครื่องกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพการกรองสูง

นอกจาก วิธีหลีกเลี่ยงในสิ่งที่แพ้แล้ว การออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเต็มที่ หลีกเลี่ยงสารก่อความระคายเคือง ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีระบบภูมิคุ้มกันที่ดีและยังสามารถควบคุมอาการของโรคภูมิแพ้ได้อย่างดีอีก ด้วย

คลินิก หู คอ จมูก โรงพยาบาลเวชธานี

รู้วิธีเลือกครีมกันแดด ปกป้องผิวพ้นภัยจากแสงแดดหน้าร้อน

Pic_72964

แสงแดดหน้าร้อนในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า...แรง!! เรียกได้ว่าใครที่อยู่ใต้ฟ้าเมืองไทยในช่วงอากาศร้อนๆ เช่นนี้ได้ถือว่าอึดกันเลยทีเดียว แต่กิจกรรมหนึ่งที่พลาดไม่ได้ในช่วงนี้คือการไปพักผ่อนเล่นน้ำทะเล ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งหลายคนมักจะนึกถึงครีมกันแดดเป็นตัวช่วยปกป้องผิวพรรณ แต่ก็ยังสับสนว่าจะเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไรที่มีประสิทธิภาพปกป้องผิวได้ ดี เพราะครีมกันแดดตามท้องตลาดมีหลายชนิด และอ้างถึงสรรพคุณต่างๆ มากมาย
 
ฟื้นฟู ผิวคล้ำเสียจากการโดนแดดได้อย่างไร


พญ.ดวงกมล ทัศนพงศากุล อายุรแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง โรงพยาบาลเวชธานี กล่าวถึงปัญหาจากแสงแดดที่พบได้บ่อยๆ ว่า มักพบอาการผิวโดนแดดเผาไหม้  เกิดริ้วรอย ฝ้า กระ รวมถึงอาการแพ้ต่างๆ ด้วย สาเหตุที่ทำให้ผิวถูกทำร้ายจากแสงแดด ในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งรังสีนี้จะไปทำลายคอลลาเจน และอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดริ้วรอยต่างๆ ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดทุกวัน และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 30 นาที การทาครีมกันแดดที่ได้ผลดีควรทาให้เพียงพอ ไม่บางหรือหนาจนเกินไป แต่หากเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยเฉพาะในช่วงเวลา 10.00 น - 16.00 น.

การเลือกใช้ครีมกันแดด ควรเลือกที่สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB และต้องไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ มีความคงตัวสูงไม่ว่าจะโดนน้ำ หรือเหงื่อ ไม่เหนียวเหนอะหนะ



ปัจจุบันเราแบ่งสารกันแดดเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ สารเคมีกันแดด (Chemical Sunscreen) สารนี้จะช่วยดูดซับรังสี UV ไว้  และเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสารทำให้ประสิทธิภาพในการกันแดดลดลงตาม ระยะเวลาที่โดนแดด  ข้อดีของสารเคมีกันแดด คือ ทาแล้วไม่ทำให้หน้าขาววอก  แต่สารบางตัวอาจกันได้แค่ UVB แต่ไม่กัน UVA เช่น Salicylate, Cinnamate และสารที่กันได้ทั้ง UVB และ UVA ได้แก่ สารที่ลงท้ายด้วย –benzone,  mexoryl  sx,  mexoryl XL แต่ครีมกันแดดรุ่นใหม่ จะมีสารกันแดดผสมกัน 2-3 ตัว และมีคุณสมบัติกัน UVA ได้มากขึ้น ส่วนข้อเสียของสารเคมีกันแดด คือ  อาจทำให้เกิดการแพ้ระคายเคืองจากสารเคมีได้

สารกันแดดกุล่มที่ 2 คือ  สารสะท้อนแดด (Physical  Sunscreen)  ได้แก่ ไททาเนียม ไดออกไซด์ (Titanium Dioxide),  ซิงค์ออกไซด์ (Zinc  Oxide) สารเหล่านี้จะสะท้อนแดดออกจากผิว  ข้อดีของสารสะท้อนแดด คือ เกิดการแพ้ และระคายเคืองน้อยมาก  ใช้ได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่  สามารถกันได้ทั้ง UVB และ UVA  ไม่เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติเมื่อโดนแดดนาน ๆ   ข้อเสียของสารสะท้อนแดด คือ ทาแล้วจะทำให้หน้าขาววอก แต่ปัจจุบันมีการลดขนาดโมเลกุลของสารสะท้อนแดดทำให้ขาวลดลง

นอกจาก ส่วนประกอบของครีมกันแดดที่เราดูได้จากฉลากแล้ว  ค่า SPF ของครีมกันแดดก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน   โดยค่า SPF (Sun Protection Factor ) เป็นตัวเลขที่บอกถึงประสิทธิภาพที่ทำให้ผิวหนังทนต่ออาการแดงจากแสงแดดได้ มากขึ้นโดยคิดเป็นจำนวนเท่า  ค่า SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันแสงแดดจากรังสี UVB เท่านั้น  เช่น SPF 15 หมายความว่าครีมกันแดดที่ทาทำให้ผิวหนังสามารถทนแสงแดดได้นานขึ้น เป็น 15 เท่า ผิวหนังถึงจะแดง เช่นจากการที่เคยโดนแสงแดด 20 นาทีแล้วผิวแดง ก็สามารถกันแดดได้ 15 × 20 เท่ากับ 300 นาที ผิวจึงจะแดง สำหรับคนที่อยู่ในอาคารควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 15 แต่ถ้าต้องออกไปโดนแดดจัด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ประมาณ 30 เมื่ออยู่กลางแจ้งนาน ๆ อากาศร้อนทำให้เหงื่อออกเยอะและผู้ที่ต้องการลงเล่นน้ำ ครีมกันแดดจะถูกจะชะล้างออกไปบางส่วน  ควรเลือกครีมกันแดดชนิด Water-resistant หรือ Waterproof  จะช่วยป้องกันการชะล้างได้ดีขึ้น ส่วนค่า PA (Protective factor for UVA) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกัน UVA นั่นเอง

นอกจากการ ป้องกันแสงแดดด้วยครีมกันแดด เรายังสามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ด้วยอุปกรณ์อื่น ๆ ที่สามารถใช้ในการป้องกันแสงแดดและมีส่วนสำคัญไม่แพ้กัน เช่น การสวมหมวก, การสวมเสื้อผ้าที่กันรังสี UV  การใช้ร่ม ปัจจุบันมีผ้าที่ทอพิเศษสามารถกันรังสี UV โดยมีค่า SPF 20-40  ช่วยปกป้องผิวบริเวณลำตัว และแขนขาจากแสงแดดได้ค่ะ


หลังจากการโดนแดดแรงๆ เป็นเวลานานแล้ว ปัญหาที่มักเกิดขึ้นคือ ผิวคล้ำเสีย มีจุดด่างดำ และเกิดริ้วรอย โดยทั่วไปก็มักจะเลือกใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ และไวท์เทนนิ่ง หรืออาจพึ่งพาเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาขาวใสดังเดิม อาทิ

เทคโนโลยี  IPL  ( Intense Pulse Light ) เทคโนโลยีนี้จะช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ผิวพรรณ  เป็นเทคโนโลยีความงามโดยการใช้คลื่นแสงธรรมชาติ  IPL  ที่ไม่เป็นอันตรายต่อผิว   แต่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้ผิวสวยใส  ดูอ่อนวัย  คืนความเนียนใสให้กับใบหน้า ลบเลือนจุดด่างดำ  ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง  พร้อมปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ  พร้อมกับการทำลายเฉพาะเม็ดสีส่วนเกินในชั้นหนังกำพร้า  ไม่มีอาการเจ็บและไม่ทำให้เกิดแผล  หลังการรักษายังสามารถแต่งหน้าได้

ส่วน   Micropeel  เป็นการปรับสภาพและฟื้นฟูผิวพรรณด้วยผงคริสตัลขนาดเล็ก  ขัดนวดเบาๆ  เพื่อขจัดผิวเก่าที่เสื่อมสภาพออกอย่างอ่อนโยน  ทำให้ผิวนุ่มเนียน  และกระจ่างใสขึ้น  ในขณะเดียวกันก็จะกระตุ้นให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ที่สดใส  โดยไม่ทำให้เกิดแผล  สะดวก  รวดเร็ว  ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้น  และยังปลอดภัยแม้แต่สภาพผิวที่บอบบางและแพ้ง่าย  สามารถใช้รักษารอยหลุม  รอยดำ  รอยแผลเป็นจากสิว  ลดริ้วรอยตื้น ๆ ลบเลือนรอยแตกลายที่หน้าท้อง  สะโพก  และต้นขา อีกทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน  มีสีผิวที่สม่ำเสมอ 

สำหรับ  AHA Treatment  เป็นการปรับสภาพผิวโดยใช้กรดผลไม้  AHA ( Alphahydroxy Acid )  ซึ่งสกัดจากผลไม้ในธรรมชาติ  โดยสาร AHA จะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังที่เสื่อมสภาพ  เกิดการหลุดออกได้เร็ว  ทำให้ความหมองคล้ำ  และริ้วรอยจุดดำต่างๆ จางหายไป  และยังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเส้นใยคอลลาเจน  ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยิ่งขึ้นด้วย  ช่วยให้ความมันของผิวหน้าลดลง  จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมัน

ปัญหาแดดแผดเผาผิวพรรณ เป็นเรื่องที่ต้องระวัง แต่ก็ไม่ถึงกับต้องเก็บตัวอยู่แต่ในที่ร่มตลอดเวลา หน้าร้อนที่แสงแดดสดใสแบบนี้ ออกไปเผชิญกับแสงแดดบ้างอย่างถูกวิธี ก็สามารถสนุกกับกิจกรรมกลางแจ้งได้ โดยไม่ต้องกลัวผิวเสียอีกต่อไป

ศูนย์ ผิวหนัง เลเซอร์และความงาม โรงพยาบาลเวชธานี

กินกุ้งต้ม หนีอาการแพ้ ป้องกันเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง



Pic_68402

นักวิจัยจีนกับสหรัฐฯพบในการศึกษาว่า หากต้มกุ้งนานสัก 10 นาที จะทำให้ปลอดสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้กับคนบางคนที่แพ้กุ้งขึ้นได้

พวก เขาได้ศึกษา โดยการตรวจสอบสารสกัด ทั้งจากกุ้งต้มและกุ้งดิบ จึงพบว่ากุ้งต้มจะมีสารภูมิต้าน ซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาอาการแพ้เหลืออยู่น้อยมาก นักวิทยาศาสตร์จีน กวง เม้งหลิว หัวหน้านักวิจัย กล่าวว่า ความรู้ในคุณสมบัติที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ของกุ้งที่เกี่ยวกับการหุงต้มอาหาร เป็นเรื่องสำคัญกับผู้ที่มีอาการแพ้กุ้ง การวิจัยแสดงว่า โปรตีนโทรโปไมโอซินที่มีอยู่ในอาหารทะเล เป็นสารตัวการที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ขึ้น

อาการแพ้อาหาร โดยเฉพาะพวกหอยพวกกุ้ง อาจก่อให้เกิดอาการอันรุนแรง อย่างเช่น ปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง ซึ่งคุกคามชีวิตได้.



เรียนรู้ประโยชน์'คาเฟอีน'ในกาแฟ

Pic_72329

คอกาแฟทั้งหลายคงจะเคยผ่านหูผ่านตาคำว่า “คาเฟอีน” กันมาแล้วมากบ้างน้อยบ้าง แต่อาจไม่ได้สนใจกันจริงจังนัก คาเฟอีนนั้นออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้รู้สึกตื่นเต้น บางคนดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ อย่างชาหรือกาแฟอาจจะทำให้นอนไม่หลับ แต่บางคนก็หลับได้สบาย การรู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมานั้นก็ไม่ใช่ฤทธิ์ของคาเฟอีนโดยตรง แต่เป็นการเอากำลังสำรองมาใช้ ซึ่งเมื่อถึงคราวที่เราต้องอาศัยกำลังสำรองจริงๆ แล้วก็จะไม่มีเหลือ ทำให้ภูมิต้านทานต่ำ ล้มป่วยง่าย และหายยาก หรืออาจจะไม่หายเลยก็ได้

นัก ดื่มทั้งหลายที่ติดคาเฟอีนแล้ว แต่ไม่มีอาการถอนยาปรากฏชัดเจนนัก เป็นเพราะมักจะดื่มถ้วยต่อถ้วยไปเรื่อยๆ ก่อนที่ยาจะหมดฤทธิ์ลง จึงยังไม่เห็นอาการขาดคาเฟอีน คาเฟอีนไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาความรู้สึกเหนื่อย และเพลียของร่างกายเลย การพักผ่อนเท่านั้นที่จะช่วยได้แต่คาเฟอีนจะเป็นตัวกระตุ้นสมองให้เราตื่น ความอ่อนเพลียจึงยังคงอยู่

กาแฟเป็นเครื่องดื่มกระตุ้นยอดนิยมของโลก ชาวอเมริกัน 4 ใน 5 คนเป็นคอกาแฟ และดื่มกาแฟรวมกันแล้วมากกว่า 400 ล้านถ้วยต่อวัน ขณะที่การบริโภคกาแฟในประเทศแถบสแกนดิเนเวียมีปริมาณมากกว่า 12 กิโลกรัม ต่อคน ด้วยจำนวนประชากรมากกว่า 25 ล้านคนที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้ กาแฟจึงเป็นสินค้าที่มีมูลค่าอันดับสองในตลาดการค้าโลก เป็นรองก็แต่อุตสาหกรรมน้ำมันเท่านั้น

คาเฟอีนคืออะไร

คาเฟอีน (caffeine) เป็นสารชนิดหนึ่งที่รู้จักกันมานาน เป็นสารประกอบอัลคาลอยด์ มีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7 trimethylxanthine มีลักษณะเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสขม ละลายได้ดีในน้ำร้อน ละลายได้เล็กน้อยในแอลกอฮอล์ คาเฟอีนพบปริมาณมากในพืชจำพวกชา และกาแฟ ซึ่งเมื่อนำมาผลิตเป็นเครื่องดื่มชาและกาแฟ ก็มีผู้นิยมบริโภคเป็นจำนวนมาก บ้างก็นิยมในรสชาติที่หอมละมุน บ้างก็ติดใจกลิ่นที่เย้ายวนชวนชิม ปัจจุบันสินค้าประเภทชา และกาแฟมีให้เลือกมากมายหลายชนิด และมีการทำไร่ผลิตเมล็ดกาแฟหลายแห่งด้วยกัน เป็นอุตสาหกรรมชั้นนำประเภทหนึ่ง

การ เปลี่ยนแปลงในร่างกาย


1.    เมื่อบริโภคเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน คาเฟอีนจะถูกดูดซึมผ่านระบบทางเดินอาหารได้ดี โดยเฉพาะในลำไส้เล็ก เพราะในลำไส้เล็กมีพื้นที่ของการดูดซึมมาก และสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วกว่าส่วนอื่นๆ จากการศึกษาวิจัยพบว่า คาเฟอีนถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ถ้าได้รับคาเฟอีนเข้าไปในขณะท้องว่างหรือกำลังหิว ร่างกายจะดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปในเลือดได้เร็วขึ้น คือ ใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที
2.    เมื่อคาเฟอีนถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายแล้ว จะกระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างรวดเร็ว คาเฟอีนเข้าไปสู่ทุกอวัยวะในร่างกาย และยังสามารถผ่านเข้าสู่รกไปยังทารก หรือเข้าไปในน้ำนมแม่ได้
3.    ปริมาณการกระจายของคาเฟอีนในร่างกายมีค่าประมาณร้อยละ 40-60 ของน้ำหนักตัว และสามารถพบได้ในสารน้ำทุกส่วนของร่างกาย เช่น น้ำลาย น้ำนม และน้ำตา คาเฟอีนในร่างกายจะถูกกำจัดอย่างรวดเร็วโดยเอ็นซัยม์ของตับ ซึ่งเผาผลาญคาเฟอีนในร่างกายได้ถึงร้อยละ 95 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 5 จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
4.    คาเฟอีนไม่ถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย



กลไกการเสพติดของคา เฟอีน


เกิดจากฤทธิ์กระตุ้นสมอง กลไกดังกล่าวเช่นเดียวกับยาบ้า (amphetamines) โคเคน (cocaine) และเฮโรอีน (heroin) หากนำมาเปรียบเทียบกัน พบว่าคาเฟอีนมีฤทธิ์เสพติดน้อยกว่ายาบ้า โคเคน และเฮโรอีนมาก ผู้ที่ติดคาเฟอีนจะมีอาการของการเสพติด รู้สึกไม่ค่อยสบาย ไม่มีเรี่ยวมีแรง หากไม่ได้รับหรือบริโภคเข้าไป และมีความต้องการที่จะเสพอีกอย่างมาก การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณน้อยจะทำให้รู้สึกมีความตื่นตัว ความคิดฉับไว ไม่ง่วงนอน กระปรี้กระเปร่า รู้สึกมีพลัง ทำงานได้ทนทานและนานยิ่งขึ้น ขนาดของคาเฟอีนที่เริ่มมีฤทธิ์ในการกระตุ้นสมองคือ 40 มิลลิกรัมขึ้นไป

ประโยชน์ของคาเฟอีน

1.    แพทย์อาจจะใช้กับเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดและหยุดหายใจแล้วกว่า 20 วินาที เพื่อช่วยกระตุ้นให้ฟื้น ซึ่งได้ผลไม่แน่นอน
2.    ใช้ในห้องทดลองเกี่ยวกับการกระตุ้นระบบประสาท
3.    ผสมกับยาเออร์กอทในการรักษาไมเกรน
4.    นานๆ ครั้งแพทย์จะใช้กับคนไข้ที่ถูกยาพิษบางชนิดที่ไปกดระบบประสาท ทำให้คนไข้ง่วงซึมและหายใจไม่ค่อยได้

ทำไมดื่มกาแฟแล้วถึงไม่ง่วง

1.    คาเฟอีนมีลักษณะทางเคมีที่สำคัญประการหนึ่ง คล้ายกับสารที่ชื่ออะดีโนซีน (adenosine) และเข้าไปจับกับตัวรับตัวเดียวกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าสารอะดีโนซีนเป็นสารเคมีที่สร้างขึ้นในสมอง มีฤทธิ์ทำให้รู้สึกง่วงนอน ดังนั้นเมื่อบริโภคเครื่องดื่มประเภทชา และกาแฟ หรือเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนเข้าไป สมองจะเข้าใจว่าเป็นอะดีโนซีน เนื่องจากตัวรับของอะดีโนซีนทำปฏิกิริยาจับกับคาเฟอีน กลไกดังกล่าวทำให้สมองขาดสารที่ทำให้รู้สึกง่วงนอน ร่างกายจึงรู้สึกไม่ง่วง และรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชายิ่งขึ้น
2.    แต่คาเฟอีนในขนาดสูงจะทำให้นอนไม่หลับ ลดระยะเวลาหลับ และหลับไม่สนิท มือสั่น เกิดอาการวิตกกังวล คาเฟอีนในขนาดที่เป็นโทษแก่ร่างกายอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการชักได้
3.    คาเฟอีนอาจไปเสริมฤทธิ์ของยาระงับปวด เช่น แอสไพริน พาราเซตามอล และยังเสริมฤทธิ์ยาระงับอาการปวดศีรษะชนิดไมเกรนได้ ทำให้อาการปวดทุเลาลง

คาเฟอีนกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีนและโดปา มีน

1.    ฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน (adrenaline) ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น ใจสั่น ความดันโลหิตสูง ตับเร่งผลิตน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด กล้ามเนื้อตึงตัวพร้อมทำงาน ทำให้เหมือนเป็นยาชูกำลัง การบริโภคคาเฟอีนมีผลทำให้หัวใจเต้นช้าลงเล็กน้อยในชั่วโมงแรก และกลับเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อยในชั่วโมงที่ 2 และ 3 ความดันโลหิตจะเพิ่มประมาณ 5-10 มิลลิเมตรปรอท และเพิ่มขึ้นนานประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วอาการดังกล่าวจะหายไป
2.    ส่วนฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งโดปามีน (dopamine) ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจ สุขลึกๆ เชื่อว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเสพติดคาเฟอีน ทั้งฤทธิ์กระตุ้นการกลั่งสารอะดรีนาลีน และโดปามีนมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
3.    คาเฟอีนไม่มีผลต่อการเพิ่มโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด แต่การดื่มกาแฟสามารถทำให้ระดับของโคเลสเตอรอลสูงขึ้นได้ เนื่องจากในเมล็ดกาแฟมีไขมันอยู่หลายชนิด ซึ่งไขมันดังกล่าวจะถูกส่งเข้าสู่ร่างกายได้มาก ถ้าผู้บริโภคกาแฟใช้วิธีต้มกาแฟคั่วบดโดยไม่ผ่านการกรองกากออก ผู้บริโภคก็จะได้รับไขมันจากกาแฟนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดมีคาเฟอีนหรือไม่มีคาเฟอีนก็ตาม
4.    คาเฟอีนยังเป็นสารที่กระตุ้นให้มีการหลั่งกรด และน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้นได้ ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะ หรือลำไส้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แม้ว่าคาเฟอีนไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงของโรคแผลในกระเพาะอาหาร และลำไส้ แต่ถ้าบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเข้าไป ในขณะที่มีแผลในกระเพาะอาหารอยู่ อาการโรคกระเพาะจะรุนแรงมากขึ้น

ปริมาณสารคาเฟอีนในอาหารและเครื่องดื่ม ประจำวัน


1.    พืชที่มีคาเฟอีนได้แก่ เมล็ดกาแฟ ใบชา โกโก้ พบว่ากาแฟหนึ่งถ้วยมีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 200 มิลลิกรัม ชาหนึ่งถ้วยมีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 150 มิลลิกรัม
2.    คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าคาเฟอีนมีอยู่เฉพาะในชา และกาแฟเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วคาเฟอีนยังเป็นส่วนผสมสำคัญในน้ำอัดลมที่ผลิตจากเมล็ดโค ล่า รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารหรือขนมที่ใช้ ชา กาแฟ โกโก้ และโคล่าเป็นส่วนผสมอยู่ ก็จะมีสารคาเฟอีนรวมอยู่ด้วย เช่น ลูกอมรสกาแฟ ลูกอมรสช็อกโกเลต เค้กช็อกโกเล็ต เค้กกาแฟ น้ำอัดลมโคล่า รูทเบียร์ และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ
3.    สำหรับคาเฟอีนที่ผสมลงไปในเครื่องดื่มหรือน้ำอัดลม ส่วนใหญ่จะมีปริมาณคาเฟอีนประมาณ 50-100 มิลลิกรัม อย่างไรก็ตามพบว่าในเครื่องผสมคาเฟอีนบางชนิดมีปริมาณสารคาเฟอีนมากถึง 200 มิลลิกรัมต่อหน่วยบรรจุ
4.    การบริโภคคาเฟอีนในปริมาณสูงเกินไปอาจจะเกิดพิษขึ้นได้ คาเฟอีนในปริมาณครั้งละ 200-500 มิลลิกรัม อาจทำให้ปวดศีรษะ เกิดภาวะเครียด กระวนกระวาย มือสั่น และประสิทธิภาพการทำงานลดลง
5.    คาเฟอีนประมาณ 1,000 มิลลิกรัม อาจทำให้ผู้บริโภคมีไข้สูง วิตกกังวล กระสับกระส่าย พูดตะกุกตะกัก ควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปัสสาวะบ่อย
6.    ขนาดของคาเฟอีนที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ ประมาณ 100 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในเด็กเล็ก หรือประมาณ 3,000 มิลลิกรัมในเด็กโต 5,000-10,000 มิลลิกรัมในผู้ใหญ่ตามลำดับ

กาแฟ ที่ไม่มีคาเฟอีน (decaffeinated coffee)


1.    กาแฟที่ไม่มีคาเฟอีนได้มาจากการกำจัดคาเฟอีนออกไปจากกาแฟ ซึ่งทำได้หลายวิธี วิธีที่ใช้กันมากมี 3 วิธี คือ การละลายเอาคาเฟอีนออกจากกาแฟด้วยน้ำ ตัวทำละลายอินทรีย์หรือคาร์บอนไดออกไซด์ การละลายคาเฟอีนออกด้วยน้ำ จะใช้เมล็ดกาแฟสดสีเขียว ก่อนการคั่วโดยล้างเมล็ดกาแฟด้วยน้ำ และคาเฟอีนที่ละลายอยู่ในน้ำจะถูกแยกออกด้วยถ่านกัมมันต์ วิธีการนี้ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และหลายรอบ ถือว่าเป็นการสกัดด้วยน้ำ
2.    นอกจากการละลายคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟด้วยน้ำแล้ว ก็อาจจะใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ เช่น เมธิลีนคลอไรด์ เอธิลอะซิเตต ซึ่งมักพบในผลไม้หรือผัก ซึ่งการใช้ตัวทำละลายอินทรีย์นี้จะทำหลังจากการสกัดด้วยน้ำแล้ว ซึ่งคาเฟอีนที่อยู่ในตัวทำละลายจะถูกนำไปสกัดต่อไป และตัวทำละลายดังกล่าวสามารถนำมาใช้ซ้ำได้ เมื่อนำเมล็ดกาแฟสดหลังจากสกัดไปคั่ว ตัวทำละลายที่เหลืออยู่ก็ระเหยออกไป เนื่องจากเป็นสารระเหยง่าย
3.    อีกวิธีหนึ่งในการละลายคาเฟอีนออกจากเมล็ดกาแฟสดคือ การใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบของอากาศ แต่คาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้จะอยู่ในสภาพที่เป็นของไหล เรียกว่าของไหลยวดยิ่ง ซึ่งเป็นสภาวะที่มีความดันสูง นอกจากนี้ยังใช้คาร์บอกไดออกไซด์นี้ไหลผ่านถ่านกัมมันต์ จากกระบวนการล้างด้วยน้ำเพื่อสกัดคาเฟอีนออกมา หลังจากสกัดข้างต้น เมล็ดกาแฟสดดังกล่าวก็จะถูกทำให้แห้ง และนำไปคั่วต่อไป ซึ่งคาเฟอีนจะถูกสกัดออกไปมากกว่าร้อยละ 99

โทษของคาเฟอีน


1.    ใจสั่น โดยหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ หรือเต้นผิดจังหวะ
2.    ทำให้ความดันโลหิตสูง
3.    ทำให้ไขมันในเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโคเลสเตอรอล เกิดเป็นโรคหัวใจตามมาง่ายขึ้น
4.    กระเพาะอาหารผลิตกรดออกมามากกว่าปกติ ซึ่งทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารง่ายขึ้น
5.    เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อาจทำให้มีก้อนซีสต์ที่เป็นเนื้องอกในเต้านมสตรี
6.    ทำลายโครโมโซมในหนูที่ใช้ทดลอง และลูกหนูที่คลอดออกมาพิการไม่สมประกอบ ในปี ค.ศ.1980 สำนักงานอาหาร และยาของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศเตือนให้สตรีที่ตั้งครรภ์ หรือลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์ได้
7.    ระบบประสาทถูกกระทบกระเทือน ทำให้นอนไม่หลับ มือสั่น ตึงเครียด อารมณ์เสียง่าย ปวดหัว ประสิทธิภาพการทำงานต่ำลง

ที่มา : ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาหารลดอ้วน-สูตรน้ำขจัดไขมัน


อาหารลดอ้วน-สูตรน้ำขจัดไขมัน

ตาม ธรรมเนียมของ กินดี ที่ต้องส่งท้ายสัปดาห์ด้วยการกิน-ดื่มเพื่อสุขภาพ โดยเฉพาะอาหารเพื่อการลดหรือควบคุมน้ำหนักที่กล่าวกันมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์

ลดขนมขบเคี้ยว ของหวาน และตัดใจจากอาหารขยะ

ในหมวดของ เนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไม่มีหนัง เน้นรับประทานปลาจะดีที่สุด ส่วนวิธีการปรุงควรอบ ย่าง นึ่ง เลี่ยงทำอาหารด้วยการทอดในน้ำมันท่วมล้น ขณะที่ นม เน้นดื่มชนิดจืดพร่องมันเนย หรือนมขาดมันเนย เพราะมีปริมาณไขมันน้อยกว่านมพร้อมดื่ม ควรดื่มไม่เกิน 2 กล่องเล็กต่อวัน (ขนาดกล่องสำหรับผู้ใหญ่)

ส่วน ไข่ เน้นนำไปนึ่ง ต้ม หรือตุ๋น ในช่วงลดน้ำหนักควรลดการรับประทานไข่แดง แต่ละสัปดาห์ไม่ควรเกิน 3 ฟอง สำหรับ ถั่วเมล็ดแห้ง อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์ มีกากใยอาหารดีต่อระบบขับถ่าย ควรรับประทาน 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์

หมวด ข้าว-แป้ง เน้นข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ในแต่ละวันไม่ควรรับประทานมาก เนื่องจากร่างกายจะสังเคราะห์สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจากข้าวและแป้งเปลี่ยน เป็นน้ำตาล ถ้าสะสมในปริมาณมากเกินความต้องการจะทำให้อ้วน

การรับ ประทาน ผลไม้ ที่มีคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับข้าวและแป้ง ซึ่งควรเลือกรับประทานผลไม้รสไม่หวานจัดแทนขนมหวาน อาทิ ส้ม ชมพู่ มะละกอ แตงโม ฝรั่ง สับปะรด เพื่อให้วิตามินและเกลือแร่ที่มีในผลไม้ ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้เป็นไปอย่างปกติ และเพิ่มใยอาหารเสริมการทำงานระบบขับถ่าย ควรรับประทานทั้งผลสด ๆ

สำหรับ ผักใบเขียวและขาว มีสารอาหารอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผลไม้ ควรรับประทานเป็นประจำ แต่ควรสลับกับผักที่มีสีแดง-แสด อย่าง แครอต ฟักทอง มะเขือเทศ

ใยอาหาร พบได้ในผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ แม้ร่างกายของคนเราจะไม่สามารถย่อยได้จึงต้องขับถ่ายออกมาเป็นของเสีย แต่กากใยเมื่ออยู่ในกระเพาะหรือลำไส้จะเกิดการพองตัว ทำให้ไม่รู้สึกหิวบ่อย แถมยังช่วยดูดซับไขมัน น้ำตาล สารพิษ แล้วขับออกจากร่างกาย

ขณะที่ ไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู ไขมันจากพืช อย่าง กะทิและน้ำมันมะพร้าว ควรงดเพราะมีไขมันที่จะเปลี่ยนเป็นคอเลสเตอรอล รับประทานมากไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนไขมันจากพืชในรูปของน้ำมันพืช รับประทานได้แต่เพียงน้อย

มาถึงสูตรเครื่องดื่ม ที่มีสรรพคุณลดความอ้วนและขจัดไขมันส่วนเกิน ที่ใช้ผักและผลไม้เป็นส่วนผสม มี แครอต อันอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ในทางโภชนาการชี้ว่า แครอตสามารถขจัดไขมันส่วนเกินจากตับ ดีต่อการย่อยอาหาร ส่วน กีวี จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ไม่ทำให้เป็นหวัดง่าย

ก่อน ปรุงดื่ม มาเตรียมส่วนผสมตามสัดส่วน ดังนี้
แครอต 1 ถ้วย
กีวี 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

โดยวิธีการปรุง ให้นำแครอตไปขูดเป็นเส้น ส่วนกีวีปอกเปลือกก่อนฝานเป็นแว่นชิ้นบาง ๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งป่นเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มเป็นประจำจะช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน.
ที่ มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วิธีปฏิบัติเมื่อแพ้อากาศ


หากโรคแพ้ อากาศกำเริบจะทำอย่างไร วันนี้เรามีวิธีปฏิบัติมาแนะนำ

วิธีปฏิบัติเมื่อแพ้อากาศ

โรค แพ้อากาศหรือโรคภูมิแพ้จมูก เป็นโรคที่พบบ่อยทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก ผู้ป่วยจะมีอาการ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล มีเสมหะในคอ เลือดกำเดาไหลบ่อย และอาจพบอาการคันตา แสบตา คันหู หูอื้อ ซึ่งอาการเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งกระตุ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ฝุ่น ละอองเกสรของพืช ไรฝุ่น และขน

วิธี ปฏิบัติตัวเมื่อเป็นโรคแพ้อากาศ ให้หลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น ตัวไร ในฝุ่น เชื้อราในอากาศ แมลงสาบ ยุง แมลงวัน และมด โดยห้องนอน ต้องจัดให้มีของอยู่น้อยที่สุด เพื่อความสะดวกในการทำความสะอาด ส่วนหมอนต้องนำมาตากแดดบ่อยๆ และควรนำเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีขน เช่น แมว สุนัข ไว้ภายนอกบ้าน ที่สำคัญคือ พยายามหลีกเลี่ยงละอองเกสรหญ้า วัชพืช และดอกไม้ทุกชนิด

ระวังสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มเหล้า งดสูบบุหรี่ และออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ ส่วนทางด้านจิตใจระวังอย่าให้เครียดหรือวิตกกังวลเกินไป

ควรล้าง จมูกอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำเกลือ เนื่องจากสามารถลดปริมาณสารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในจมูกได้วิธีการล้างจมูก คือ ให้ผสมน้ำต้มสุก 500 ซีซี ( ครึ่งลิตร ) กับเกลือ 1 ช้อนชา แล้วเทลงในแก้วจากนั้นดูดด้วยสลิ้งค์ โดยให้ผู้ป่วยก้มหน้ากลั้นหายใจ พร้อมบีบน้ำเข้าไปในรูจมูกช้าๆ แนะอย่าให้ผู้ป่วยแหงนหน้า เพราะจะทำให้สำลักน้ำเกลือ จากนั้นให้ผู้ป่วยสั่งน้ำมูก

ความรุนแรง ของโรคแพ้อากาศมีไม่มาก แต่รักษาให้หายขาดยาก หากควบคุมอาการของโรคไม่ดีอาจลุกลามกลายเป็นโรคหอบหืด จนอาจทำให้เสียชีวิต เนื่องจากระบบทางเดินหายใจล้มเหลว

รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ดูได้.

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

บำรุงปอด


เครื่อง ดื่มบำรุงปอด และเสริมการทำงานของม้าม จากผัก-ผลไม้เพียง 3 ชนิด หาซื้อได้ง่าย บางบ้านก็มีแช่เก็บไว้ในตู้เย็น

ดื่มดี บำรุงปอด

มา เริ่มกันที่ แครอท ผลสีส้ม เป็นแหล่งรวมเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และยังช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากตับ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวการก่อโรคร้ายในลำไส้ใหญ่ รักษาอาการติดเชื้อราและโรคพยาธิ บำรุงผิวพรรณ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ขับปัสสาวะและสารพิษ ซึ่งให้คุณประโยชน์ต่อสายตา ปอด ตับ และม้าม บรรเทาอาการไอ บำรุงระบบโลหิต นอกจากนี้ยังมีแคลเซียม และแมกนีเซียม เสริมประสิทธิภาพการล้างพิษของร่างกาย ซัลเฟอร์ และคลอรีน ช่วยทำความสะอาดเนื้อเยื่อ ถ้าจะให้ดีควรเลือกใช้แครอทผลใหญ่ แก่จัด และสีส้มเข้ม โดยไม่ต้องปอกเปลือกออก

ส่วน หัวไชเท้า อุดมด้วยไปวิตามินซี และแร่ธาตุบางชนิด เช่น แคลเซียมและฟอสฟอรัส และมีแร่เหล็กอยู่บ้าง มีสรรพคุณช่วยบำรุงกระดูก บำรุงโลหิต บำรุงหัวใจ บรรเทาอาการปวดแขน-ขา เมื่อเกิดบาดแผลเลือดจะหยุดไหลได้เร็ว ลดอาการตกขาวในสตรี ช่วยย่อยอาหาร ล้างพิษ แก้ท้องผูก ท้องเสีย

อย่าง สุดท้าย แอปเปิล มีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี 1 บี2 และบี6 ลดเครียด ล้างพิษที่สะสมในตับและไต พร้อมทั้งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด อาทิเช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟโตเคมิคอล เควอเซติน แถมยังมีกรดมาลิก กรดแทนนิก และเส้นใยเพ็กติน ซึ่งมีมากในส่วนแกนแอปเปิล ช่วยชะล้างกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร การดื่มน้ำสกัดจากแอปเปิล สามารถลดอาการไข้ บรรเทาเนื้อเยื่ออักเสบ

มาถึงขั้นการเตรียมส่วน ผสมก่อนปรุงให้ได้ตามสัดส่วนต่อไปนี้.

แครอท 1 ถ้วย
หัว ไชเท้า 1/4 ถ้วย
แอปเปิล 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย


สู่ ขั้นตอนการปรุงเพียงนำแครอทและหัวไชเท้ามาขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิลหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็ก ๆ นำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดรวมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ เพิ่มความเย็นสดชื่นได้ด้วยการเติมน้ำแข็ง ดื่มได้ทันที.


ที่ มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์